ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่ม 7 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทยนำโดย นายวิกรม วัชรคุปต์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย ในฐานะที่ปรึกษากลุ่ม 7 สมาคม เข้าพบนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อนำเสนอปัญหาของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย และเรียกร้องให้มีการใช้เหล็กที่ผลิตในประเทศสำหรับโครงการก่อสร้างระบบคมนาคมขนส่ง ของกระทรวงคมนาคม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังรับฟังปัญหาและข้อเสนอของผู้แทน 7 สมาคม นายอาคมกล่าวยืนยันว่า กระทรวงคมนาคมมีนโยบายชัดเจนอยู่แล้วที่จะสนับสนุนการใช้วัสดุที่ผลิตในประเทศเป็นลำดับแรกก่อน และการพัฒนาการคมนาคมและขนส่งอีกหลายโครงการต้องใช้ผลิตภัณฑ์เหล็กจำนวนมาก เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการรถไฟรางคู่ สนามบินอู่ตะเภา ซึ่งก็จะกำหนดเงื่อนไขส่งเสริมการใช้เหล็กภายในประเทศให้มากสุดเช่นกัน

“ในส่วนของโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เฟสแรก การรถไฟแห่งประเทศไทยได้พิจารณาให้สามารถใช้สินค้าเหล็กเส้นกลม และเหล็กเส้นข้ออ้อยตามมาตรฐานไทยได้ โดยควบคุมสินค้าให้มีคุณสมบัติสอดคล้องกับ มาตรฐานประเทศจีน โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ก็ได้กำหนดร่างขอบเขตงาน (TOR) ให้ใช้วัสดุในประเทศ (Local Content) มากถึง 90%” นายอาคมกล่าวยืนยัน

ขณะที่นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวย้ำนโยบายสนับสนุนการใช้เหล็กในประเทศ โดยนอกเหนือจากเรื่องคุณภาพและมาตรฐานสินค้าแล้ว ขอให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทยพิจารณาเรื่องของราคาที่แข่งขันได้และสามารถผลิตได้อย่างเพียงพอกับความต้องการด้วย

ด้าน นายวิกรม วัชรคุปต์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.)กล่าว ว่า ขณะนี้อุตสาหกรรมเหล็กไทยกำลังประสบปัญหาการใช้อัตรากำลังการผลิตที่ต่ำมาก โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เหล็กทรงยาว เช่น เหล็กเส้น เหล็กลวด ที่ใช้สำหรับงานก่อสร้าง อัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยไม่ถึง 40% ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามมีปริมาณการบริโภคเหล็กแซงหน้าประเทศไทยไปแล้ว เนื่องจากการก่อสร้างโครงการพื้นฐานของเวียดนามมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว

นายวิกรม กล่าวอีกว่าอุตสาหกรรมเหล็กเป็นอุตสาหกรรม พื้นฐานที่สำคัญของประเทศ เนื่องจากเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบให้กับอุตสาหกรรมต่อเนื่องจำนวนมาก ดังนั้น รัฐบาลควรส่งเสริม ให้มีการใช้วัสดุเหล็กที่ผลิตในประเทศในงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ เช่น โครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารสนามบิน สุวรรณภูมิ โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้า โรงกลั่นน้ำมัน และโครงการก่อสร้างสะพาน เพื่อช่วยพัฒนาผู้ผลิตในประเทศให้เกิดการต่อยอดการพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเหล็กใหม่ๆ

“ในอนาคตรถไฟระบบรางมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไปเป็นรถไฟฟ้าระบบราง ประเทศไทยสามารถอาศัยความได้เปรียบของการเป็นฐานการผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนที่เข้มแข็ง ต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนและส่วนประกอบรถไฟ ปัจจุบันเราส่งออกเศษเหล็กที่เป็นเหล็กกล้าไร้สนิมนับแสนตัน ซึ่งเศษเหล็กเหล่านี้สามารถนำมาแปรรูปผลิตเป็นล้อและเพลาของรถไฟได้” นายวิกรมกล่าว

ด้านนายชัยเฉลิม บุญญานุวัตร ผู้แทนจากสมาคมผู้ผลิตเหล็กทรงยาวด้วยเตาอาร์คไฟฟ้า กล่าวว่าสำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เฟสแรก ซึ่งกำหนดให้ใช้มาตรฐานสินค้าเหล็กของจีนเป็นหลักนั้น ผู้ผลิตในประเทศมีความสามารถในการผลิตเหล็กเส้นกลมและเหล็กข้ออ้อย ตาม มอก.บังคับของไทย แต่จำเป็นต้องขออนุญาตทำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่แตกต่างไปจาก มอก.บังคับของไทย ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาขออนุมัติจากทางสมอ.ทุกครั้งก่อน อันอาจส่งผลต่อระยะเวลาการ ส่งมอบสินค้า จึงเสนอให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาให้ใช้สินค้าที่ผลิตตาม มอก.บังคับของประเทศไทยเป็นหลัก

ด้านนายอนุวัฒน์ หวังวณิชชากร อุปนายกสมาคมเหล็กแผ่นรีดเย็นไทย กล่าวว่า ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ของประเทศไทย สมาชิกของกลุ่ม 7 สมาคมฯ สามารถ ผลิตสินค้าเหล็กได้ครบทั้งหมด 20 มอก.บังคับ และอีก 32 มอก.ทั่วไป ซึ่งครอบคลุมวัสดุเหล็กส่วนใหญ่ที่ใช้ในการก่อสร้าง และอุตสาหกรรมต่างๆ จึงเสนอให้รัฐบาล และกระทรวงคมนาคมพิจารณานโยบาย Make in Thailand ส่งเสริมการใช้สินค้าเหล็กภายในประเทศไทย โดยยกตัวอย่าง สหรัฐอเมริกาใช้นโยบาย Buy America กำหนดเงื่อนไขผลิตภัณฑ์เหล็กที่ใช้ว่าจะต้องมีกระบวนการผลิตในประเทศตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตเหล็กกล้า (Steel Making) จนเป็นผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูป (Melted & Poured Standard) และ มาตรา 232 (Section 232) จำกัดการนำเข้าสินค้าเหล็กที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ หรือเช่น ประเทศอินเดียที่ประกาศนโยบาย Make in India สนับสนุนผู้ผลิตเหล็กในประเทศเป็นลำดับแรกในการจัดซื้อจัดจ้างงานโครงการภาครัฐ มีการกำหนดสัดส่วนการใช้เหล็กในประเทศ (Local Content) ถึง 50% เป็นต้น

นายนาวา จันทนสุรคน นายกสมาคม ผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนไทย แสดงความยินดีที่กระทรวงคมนาคมมีนโยบายชัดเจนในการส่งเสริมการใช้วัสดุเหล็กในประเทศ โดยจะระบุใน TOR ของโครงการต่างๆ ต่อไป พร้อมกำหนดใช้วัสดุตาม มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ของประเทศไทยเป็นหลัก หลังจากได้ความมั่นใจจากท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมแล้ว ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศจะติดตามการขับเคลื่อนในเรื่องดังกล่าว เพื่อมีส่วนร่วมในโครงการคมนาคมและขนส่งของภาครัฐ สำหรับประเด็นที่ กระทรวงคมนาคมเป็นห่วงว่าผู้ผลิตในไทยจะสามารถเพิ่มปริมาณการผลิตได้เพียงพอหรือไม่ ขอเรียนยืนยันว่าสามารถผลิตได้เพียงพออย่างแน่นอน เพราะปัจจุบันในภาพรวมผู้ผลิตในประเทศยังเหลือกำลังการผลิตอีกมาก

cr. http://www.ryt9.com/s/nnd/2722154